
“ชาวปางมะโอปลูกชารักษ์ป่าตามพระราชดำริ ดำรง วนเกษตรสร้างรายได้อย่างยั่งยืน”
วันที่ 19 มกราคม 2566 เวลา09.00น นายเจริญ พิมพ์ขาล เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ นางกนกวรรณ พรหมตัน หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต ขับเคลื่อนโครงการความร่วมมือในการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพการปลูกชาในพื้นที่โครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ บ้านปางมะโอ โดยผู้แทนสถาบันวิจัยและพัฒนาบนพื้นที่สูง ร่วมให้ข้อมูล ณ หมู่ที่ 9 ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้เกี่ยวการประชุมคณะทำงาน ผู้เข้าร่วมโครงการซึ่งเป็นเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพการผลผลิตการปลูกชาอัสสัมแก่เกษตรกร ลักษณะการปลูกชาอัสสัมร่วมกับป่าและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่โครงการตามพระราชดำริฯ และให้มีรายได้จากชาอัสสัมอย่างยั่งยืน
เกษตรจังหวัดกล่าวว่า พื้นที่หมู่ 9 ปางมะโอ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ที่เกษตรกรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนเมี่ยง ซึ่งเป็นชื่อเรียกท้องถิ่นทางคนภาคเหนือ หรือที่คนทั่วไปจะรู้จักกันในชื่อ ต้นชาอัสสัม โดยเกษตรกรในชุมชนผลิตกันแบบดั้งเดิม เริ่มมาตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2553 กรมส่งเสริมการเกษตรได้ มีโอกาสสนองงานตามแนวพระราชดำริเกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพปลูกชาตามพระราชดำริ ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งมีพื้นที่ปลูกชาอัสสัมทั้งหมดประมาณ 818 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมกว่า 67 ครัวเรือน โดยมีลักษณะการส่งเสริมการปลูกชาแบบวนเกษตร( Agro-foresty) เนื่องจากชาสามารถเจริญอยู่ได้ใต้ร่มเงาไม้ป่า อาศัยความชุ่มชื้นในระบบนิเวศน์ธรรมชาติ และใช้ประโยชน์ที่ดินบนพื้นที่สูงที่เหมาะกับการอนุรักษ์ดินและน้ำ ตามวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่อาศัยป่า กว่า 13,000ไร่ ในการดำรงชีวิต โดยรูปแบบการผลิตไม่รบกวนระบบนิเวศ และไม่ใช้สารเคมีใดๆ จนได้รับคาร์บอนเครดิตไร่ละ 300 บาทผ่านมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง นำรายได้เข้าชุมชนเพื่อบริหารสวัสดิการชุมชนรวมถึงป้องกันไฟป่าในแต่ละปี กว่า 300,000 บาท
ด้านนายวิทวัส จิโน ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เปิดเผยว่า ชาวบ้านจะเริ่มเก็บชาตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนธันวาคม เฉลี่ยเดือนละ 16,000 กิโลกรัม โดยการจำหน่ายนั้นเกษตรกรจะจำหน่ายเป็นเมี่ยงสด ราคากิโลกรัมละ 20-22 บาท และแปรรูปเป็นชาเมี่ยงจำหน่ายกิโลกรัมละ 150 บาท สร้างมูลค่าให้กับชุมชนปีละล้านกว่าบาท ทำให้ชุมชนและคนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เกิดความมั่นคงด้านอาชีพสามารถพึ่งตนเองได้บนพื้นฐานความพอเพียง รวมทั้งยังเป็นการรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อม โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งทางภาครัฐและเอกชน นำไปสู่การความรับผิดชอบของคนต้นน้ำสู่คนปลายน้ำโดยใช้วิถีการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่าการเกษตรที่ยั่งยืน







