การเลี้ยงผึ้งโพรงธรรมชาติ

(ที่มา : สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน)

หนวด  เป็นอวัยวะรับความรู้สึกและสัมผัสโดยเฉพาะการดมกลิ่นแทนจมูก

ตา ผึ้งมีตาประกอบใหญ่ 1 คู่ ช่วยให้มองเห็นได้ในระยะไกล และเป็นบริเวณกว้าง สามารถมองเห็นดอกไม้สีต่าง ๆ ได้ในระยะไกล นอกจากสีแดง ซึ่งผึ้งจะเห็นเป็นสีดำ ผึ้งตัวผู้มีตาใหญ่กว่าผึ้งงาน และผึ้งนางพญา

ปาก ของผึ้งเป็นแบบกัดดูด ปากบนมีกรามแข็งแรง 1 คู่ ด้านข้างเป็นฟัน ตรงกลางเป็นงวงทำหน้าที่ดูดน้ำหวาน ปากของผึ้งตัวผู้ และนางพญาหดสั้นมาก

ขา มี 3 คู่ ขาหลังมีอวัยวะพิเศษ สำหรับเก็บเกสรเรียกว่า ตะกร้าเก็บเกสร ผึ้งตัวผู้ และผึ้งนางพญาไม่มีอวัยวะนี้

ปีก มี 2 คู่ คู่แรกใหญ่กว่าคู่หลังเล็กน้อย

ส่วนท้อง ของผึ้ง ประกอบด้วย 6 ปล้อง ตัวผู้มี 7 ปล้อง ที่ปลายท้องของผึ้งงาน และผึ้งนางพญามีเหล็กใน แต่ผึ้งตัวผู้ไม่มีเหล็กใน

รูหายใจ เป็นรูเปิดด้านข้างส่วนอกและท้อง มีทั้งหมด 10 คู่ 3 คู่แรกอยู่ที่ส่วนอก อีก 7 คู่ อยู่ที่ส่วน

ท้อง รูหายใจจะปิดเปิดตลอดเวลา ท่อลมและถุงลม ผึ้งมีถุงลมใหญ่มากอยู่ภายในลำตัว ช่วยพยุงตัวขณะบิน

ขน ตามลำตัว เป็นขนละเอียด มีจำนวนมาก มีเส้นประสาทรับความรู้สึก และรับสัมผัส ขนบริเวณหน้า ใช้รับความรู้สึก การเคลื่อนไหว และทิศทางลม รับสัมผัสการเคลื่อนไหวของศัตรูและรับสัมผัสอาหาร

นางพญาผึ้ง

ลักษณะทำเลที่ตั้งรังผึ้ง

สถานที่ที่เหมาะต่อการตั้งรังผึ้งควรให้อยู่ใกล้กับแหล่งพืชที่เป็นอาหารของผึ้งให้มากที่สุด และมีดอกไม้บานตลอดปี ควรจะเป็นลานโล่งใกล้กับแหล่งน้ำ แต่น้ำไม่ท่วม สถานที่เลี้ยงผึ้งนี้นิยมเรียกกันว่า “ลานเลี้ยงผึ้ง” การเลือกลานเลี้ยงผึ้งนับว่าเป็นบันไดขั้นแรก ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ทีเดียว ถ้าเลือกลานเลี้ยงผึ้งไม่ดี จะนำไปสู่ความหายนะได้ทันที เช่น เลือกลานเลี้ยงผึ้งที่ใกล้สวนผลไม้ที่ฉีดพ่นยาฆ่าแมลงเป็นประจำ ผึ้งจะได้รับพิษจากยาฆ่าแมลงตายได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งผู้เลี้ยงผึ้งเลือกลานเลี้ยงผึ้งใกล้ริมแม่น้ำ โดยมิได้ศึกษาเรื่องน้ำท่วมมาก่อนดังนี้ พอถึงฤดูฝน เกิดน้ำหลายไหลพัดพารังผึ้งจมน้ำหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ลานเลี้ยงผึ้งควรอยู่ในสวนผลไม้ หรือที่มีต้นไม้ใหญ่เป็นฉากกำบังลมและแดด เพราะว่าถ้าลมแรงมากไป จะปะทะการบินของผึ้งในการบินออกหาอาหาร ถ้าร้อนมากไป ผึ้งจะต้องเสียพลังงานเป็นจำนวนมาก เพื่อลดความร้อนในรัง

ลานผึ้งไม่ควรอยู่ในแหล่งชุมชน หรืออยู่ติดกับถนนที่มีแสงจากไฟฟ้า โดยเฉพาะผึ้งโพรงจะออกมาเล่นไฟในตอนหัวค่ำ และเช้ามืด ผึ้งที่ออกมาเล่นไฟนี้อาจจะตายได้ เพราะบินจนหมดแรง หรือถูกสัตว์พวกจิ้งจก ตุ๊กแก กบ และคางคกจับกิน ลานผึ้งที่อยู่ในที่ชุมชนติดทางเดินเท้า ผึ้งอาจจะบินไปชนและต่อยคนที่เดินผ่านไปมาได้

วิธีการดูแลรักษารังผึ้ง

วิธีการดูแลรักษารั้งผึ้งจัดว่ามีความสำคัญในการป้องกันมิให้ผึ้งหนีรัง ซึ่งเกี่ยวกับการปิดเปิดรังผึ้งบ่อยครั้ง แหล่งที่วางรังผึ้ง และวิธีการให้อาหารเมื่อถึงคราวจำเป็น เป็นต้น

1. การปิด-เปิด รังผึ้งทำเมื่อจำเป็น เช่น เมื่อต้องการแยกนางพญา และเพื่อเก็บน้ำผึ้งเท่านั้น ไม่ควรปิด-เปิด บ่อยครั้งเพราะจะทำให้รบกวนผึ้งมากเกินไปจนผึ้งหนีรังในที่สุด

2. แหล่งที่วางรังผึ้ง หรือลานเลี้ยงผึ้ง ต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำและไม่มีศัตรูธรรมชาติของผึ้งมารบกวน เช่น มดแดง ตัวต่อหัวเสือ ซึ่งจะคอยรบกวนผึ้งโดยการแย่งกินตัวอ่อนของผึ้ง จนทำให้ผึ้งรำคาญและหนีรัง ควรถากถางบริเวณที่ตั้งรังให้สะอาด ไม่ให้มีวัชพืชคลุม ใช้ผ้าชุบน้ำมันพันรอบขาตั้งหีบเลี้ยงผึ้งเพื่อกันมด

3. การให้อาหารในคราวจำเป็น เช่น ในช่วงฤดูที่ไม่มีไม้ผลให้ดอกออกผล ผึ้งจะขาดน้ำหวาน โดยทั่วไปเกษตรกรจะละลายน้ำตาลให้ผึ้ง เพื่อเป็นอาหารเสริม (แต่ไม่ควรให้ในปริมาณมากเกินความพอดี)

อย่างไรก็ตาม ผู้เลี้ยงผึ้งต้องมีการสังเกตพฤติกรรมของผึ้งอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันการหนีรังและเพื่อได้เก็บน้ำผึ้งในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวอย่างคุ้มค่าต่อการเลี้ยงดูผึ้งโพรงไทย

น้ำผึ้ง…คืออะไร

คือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บจากต่อมน้ำหวานของไม้ดอกหรือต้นไม้ แล้วผ่านกระบวนการย่อยภายในตัวผึ้งขณะบินกลับรัง เปลี่ยนสภาพน้ำหวานเป็นน้ำผึ้งก่อนเก็บไว้ในหลอดรวง ซึ่งขณะนั้นจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่มาก ผึ้งจะทำการระเหยน้ำนั้นด้วยการช่วยกันกระพือปีกไล่ความชื้น จนกระทั่งมีน้ำเหลืออยู่น้อยกว่า 21% เป็นความเข้มข้นที่พอดี ผึ้งก็จะทำการปิดฝาหลอดรวง จัดเป็นน้ำผึ้งที่มีคุณภาพ

องค์ประกอบของน้ำผึ้ง

ส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที นอกจากนั้นจะเป็นโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ เอนไซม์ ฯลฯ

น้ำตาลเชิงเดี่ยว… ที่สำคัญ ได้แก่ ฟรุกโตส กลูโคส มอลโทส เลวูโลส

กรด… ที่สำคัญได้แก่ กรดกลูโคนิค และกรดอมิโน ไม่ต่ำกว่า 10 ชนิด

แร่ธาตุ… มีความหลากกลายชนิด เช่น โปแตสเซียม กำมะถัน ฟอสฟอรัส เหล็ก ฯลฯ

เอนไซม์… ที่สำคัญ ได้แก่ กลูโคสออกซิเดส อินเวอร์เทส ไดแอสเทส (อะไมเลส)

วิตามิน… ที่สำคัญ ได้แก่ วิตามินซีรวม ไทอามีน (ซี1) ไรโบฟลาวิน (บี2) วิตามินซี

น้ำผึ้งธรรมชาติ

ลักษณะของน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งตกผลึก คือ น้ำผึ้งที่มีปริมาณน้ำตาลกลูโคสมากกว่าน้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งน้ำตาลกลูโคสเป็นน้ำตาลที่ละลายน้ำยาก จึงเกิดการตกผลึกได้ง่าย และผลึกดังกล่าวเป็นน้ำตาลกลูโคสที่มีประสบการณ์ต่อร่างกาย ดังนั้นน้ำผึ้งตกผลึกจึงไม่ใช่น้ำผึ้งปลอม น้ำตาลกลูโคสที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนั้นน้ำผึ้งตกผลึกจึงไม่ใช่น้ำผึ้งปลอม พบมากในน้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่ ทานตะวัน และยางพารา

ลักษณะของน้ำผึ้งตกผลึก

มีลักษณะเป็นแท่งเหลี่ยม เปราะบาง มีสีเดียวกับสีของน้ำผึ้งกลมกลืนกันไป และผลึกจะสลายตัวภายใน 5 นาที ที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส

ลักษณะของน้ำผึ้งตกตะกอน

เป็นลักษณะของน้ำผึ้งที่มีการปลอมปนน้ำตาล ตะกอนจะมีสีเข้มแตกต่างจากส่วนที่เป็นของเหลวอย่างชัดเจน

ทำไมน้ำผึ้งเปลี่ยนสี

น้ำผึ้งเมื่อเก็บไว้ระยะเวลาหนึ่งจะเกิดการเปลี่ยนสี หรือสีเข้มขึ้น เพราะปฏิกิริยา การสลายน้ำตาลฟรุกโตส เกิดสาร HMF (hydroxyl methyl fufural) ชักนำให้น้ำผึ้งมีสีเข้มขึ้น โดยที่น้ำผึ้งนั้นยังคงนำมาบริโภคได้ เพียงแต่สีไม่น่ารับประทานเท่านั้น น้ำผึ้งแต่ละชนิดจะเปลี่ยนสีเร็วหรือช้าต่างกัน ทั้ง ๆ ที่เก็บไว้ในสถานที่เดียวกัน เช่น น้ำผึ้งจากดอกลำไยและมะพร้าว จะเปลี่ยนเป็นสีเข้มจนถึงดำได้เร็วกว่าน้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่ นุ่น งา เป็นต้น

น้ำผึ้งแท้ หรือน้ำผึ้งที่ดี ต้องมีกลิ่นหอมของเกสรดอกไม้ตามชนิดที่ระบุไว้บนฉลากข้างขวด แต่ถ้าไม่สามารถเปิดขวดดมกลิ่น หรือไม่มีตัวอย่างให้ลองชิม ก็ควรพิจารณาคุณสมบัติข้ออื่น ตัวอย่างเช่น

1 สะอาด ไม่มีฟอง ไม่มีเศษละอองเกสร ตัวอ่อน ดักแด้ ปะปนอยู่

2 มีสีอ่อนใส สีเดียวกลมกลืนไปทั้งหมด ไม่แยกชั้น

3 มีความหนืด หรือมีความข้น แสดงว่ามีน้ำปะปนอยู่น้อย ถ้ามีมาก จุลินทรีย์สามารถเจริญเติบโตและทำให้น้ำผึ้งบูดเสีย

4 มีฉลากข้างขวด แสดงรายละเอียด แหล่งผลิต วันที่ผลิต วันหมดอายุ ผู้ผลิต เครื่องหมายรับรองคุณภาพ จากหน่วยงาน/สถาบันที่เชื่อถือได้

เก็บน้ำผึ้งได้นานแค่ไหน

ถ้าเป็นน้ำผึ้งที่มีคุณภาพ มีความชื้นไม่เกิน 21% ก็สามารถเก็บไว้บริโภคได้ไม่น้อยกว่า 2 ปี โดยไม่เกิดการบูดเสียและไม่ต้องเก็บในตู้เย็น