Urban Agriculture หรือ การเกษตรในเขตเมือง มีการให้ความหมายในภาพกว้างว่า หมายถึงการเพาะปลูกพืช เลี้ยงสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในพื้นที่เมืองและรอบๆพื้นที่เมือง รวมถึงการจัดการและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและผลิตภัณฑ์ยาที่ได้จากพืชและสัตว์ เส้นใย และเชื้อเพลิง ด้วยวิธีการเกษตรแบบเข้มข้น โดยรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ใช้วิธีนำกลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิลขยะในพื้นที่เมือง (สมิทและคณะ, 2539; เพียร์สันและคณะ, 2554) อีกมุมหนึ่งให้ความหมายว่า คือการนำเอาพื้นที่ขนาดเล็กในเขตเมือง (เช่น ที่ดินว่างเปล่า สวน ริมรั้ว ระเบียง) มาใช้ปลูกพืชและผลผลิตทางการเกษตร เพื่อบริโภคหรือขายในตลาด เพื่อเป็นแหล่งอาหารและรายได้ให้กับคนในเขตพื้นที่นั้น ทั้งนี้ Urban Agriculture มีลักษณะเป็นแนวคิดที่มีพลวัต มีความหลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่การปลูกเพื่อบริโภคในระดับครัวเรือนไปจนถึงการนำผลผลิตเข้าสู่ตลาดเพื่อแปลงเป็นรายได้ ในบางครั้งอาจถูกเรียกว่า Urban Farming ซึ่งหมายถึงการเพาะปลูกที่มีการนำผลผลิตมาบริโภค ซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนกัน โดยที่ Urban Farming ถูกนำมาใช้ในลักษณะที่มีการร่วมมือกันของกลุ่มคน เป็นการปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารของคนในชุมชน สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน สร้างงาน สร้างรายได้ และส่งเสริมวิถีการบริโภคเพื่อสุขภาพโดยเปิดโอกาสให้คนได้เข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยในราคาประหยัด
ปัจจุบันแนวคิดการทำเกษตรกรรมภายในพื้นที่เมืองได้รับความสนใจมีการปฏิบัติกันอย่าง จริงจังและกว้างขวางในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองใหญ่ที่ สำคัญในระดับโลก (World City) อาทิ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส โตเกียว ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีกลุ่มคนชาวเมืองนั้น ๆ ออกมาทำกิจกรรมปลูกผัก เลี้ยง สัตว์บนพื้นที่ว่างขนาดไม่ใหญ่นักหรือตามพื้นที่ว่างที่หาได้ในเมือง เช่น พื้นที่ว่างข้างบ้าน ที่ดินรกร้าง หรือบนดาดฟ้าอาคาร เกิดเป็นกระแสสังคม ที่เห็นว่าการทำเกษตรกรรมในเมืองเป็นกิจกรรมที่อินเทรนด์ ทันสมัย แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่าคนเมืองจำนวนไม่น้อยที่ทำเกษตรกรรมในเมืองตามๆ กันไปนั้น อาจไม่ได้รู้มากนักว่าเกษตรกรรมในเมืองนั้นมีความสำคัญในหลายมิติ มากกว่าที่แต่ละคนที่เข้ามาทำกิจกรรมเหล่านี้จะคาดคิด หากได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ที่ทำเกษตรกรรมในเมืองส่วนหนึ่ง จะพบว่าเขามีความสุขกับการปลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์ในลักษณะของการทำงานอดิเรก คนเหล่านี้จะพยายามขวนขวายหาความรู้ในการทำการเกษตรจากหนังสือ อินเทอร์เน็ต หรือพูดคุยโดยตรงกับผู้เชี่ยวชาญหรือเกษตรกร อีกส่วนหนึ่งก็จะให้เหตุผลในการทำเกษตรกรรมในเมืองของเขาว่าเป็นความต้องการผลผลิตเพื่อการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย (Safe Food) และสดใหม่ บางส่วนก็เสริมว่าทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อผักจากท้องตลาดมาบริโภค รวมถึงเกิดความภาคภูมิใจที่สามารถผลิตอาหารเพื่อบริโภคได้ด้วยตนเอง
รูปแบบการเกษตรในเขตเมืองที่น่าสนใจ
1. การปลูกพืชในเรือนกระจก (Greenhouses)
ประโยชน์ของการปลูกพืชในเรือนกระจกคือ สามารถเพาะปลูกพืชผักได้ตลอดทั้งปี เพราะ อยู่ในสถานที่ปิดที่สามารถควบคุมสภาวะ สิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ หรือความชื้นได้ โดยสามารถจัดตั้งเรือนกระจกที่ใช้เพาะปลูกนี้ ได้ตามสถานที่ทั่วไป เช่น พื้นที่ว่างระหว่าง อาคาร สวนหลังบ้าน ระเบียงบ้านหรือชั้น ดาดฟ้าของตัวอาคาร เป็นต้น



2. การปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farms)
การปลูกพืชแนวตั้ง คือ การปลูกพืชบนชั้นวางที่ เรียงซ้อนกันขึ้นไป โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยม ปลูกพืชแนวตั้งในระบบปิด ที่ควบคุมสภาวะ สิ่งแวดล้อม และไม่ใช้ดิน หรือเรียกอีกอย่างว่า เป็นการปลูกแบบไฮโดรโปนิคส์ (hydroponics) ซึ่งเป็นการปลูกพืชลงในสารละลายธาตุอาหาร พืชที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ประโยชน์ของ การปลูกพืชแนวตั้ง คือ สามารถปลูกพืชได้มาก ขึ้น ได้ผลผลิตมากขึ้น ต่อขนาดพื้นที่เท่าเดิม เมื่อเทียบกับการปลูกบนพื้นดินทั่วไป



3. การปลูกพืชริมถนน (Street Landscaping)
รูปแบบการปลูกพืชริมถนนที่เป็นที่นิยม คือ การ ทำแปลงสวนผักชุมชน (community gardens) ซึ่งสามารถทำได้ตามสถานที่ต่างๆ อาทิ ใน สวนสาธารณะ ที่ว่างริมถนน หรือพื้นที่ว่าง ระหว่างอาคาร แปลงสวนผักชุมชน ทำให้ผู้คนใน ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสวนผัก และร่วมมือกันปกป้องสวนผักจากการถูกรบกวน จากสัตว์หรือบุคคลอื่นๆ



4.การทำแปลงผักบนกำแพง (Green Walls)
แปลงผักบนกำแพง ถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการปลูกพืชแนวตั้ง คือการปลูกผักหรือผลไม้ ลงบนชั้นวางที่ติด อยู่บนกำแพง ซึ่งจะแตกต่างจากการปลูกไม้เลื้อยประดับกำแพง เพราะว่าการปลูกไม้เลื้อยประดับกำแพงนั้น ส่วนรากของต้นไม้จะถูกฝังอยู่ในดิน แต่การทำแปลงผักบนกำแพง ส่วนรากของต้นไม้จะอยู่ในรางดินที่ติดอยู่กับ ผนังกำแพง ซึ่งการทำแปลงผักบนกำแพงกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะทำให้ผลผลิตผัก และผลไม้ตามที่ต้องการแล้ว ยังทำให้บริเวณที่อยู่อาศัยโดยรอบเกิดความร่มรื่น เกิดทัศนียภาพที่ดีอีกด้วย



5. การทำปศุสัตว์ในเมือง (Animal Husbandry)
การทำปศุสัตว์ในเมือง คือ การเลี้ยงสัตว์เพื่อการ บริโภคภายในเขตเมืองหรือชุมชน อาทิ ในสวนหลัง บ้าน หรือบนชั้นดาดฟ้าของอาคาร เป็นต้น สัตว์ที่ นิยนเลี้ยงส่วนใหญ่คือ ไก่ แพะ และแกะ บางชุมชน อาจจะอนุญาตให้มีการเลี้ยงสุกรและวัว ด้วย แต่ ชุมชนส่วนใหญ่มักจะไม่อนุญาตให้เลี้ยงสุกรและวัว เนื่องมาจากปัญหากลิ่นรบกวน


6.การเลี้ยงผึ้ง (Beekeeping)
การเลี้ยงผึ้งในเมือง จำเป็นต้องมีทักษะและ ความรู้พอสมควร เพื่อให้การเลี้ยงผึ้งประสบ ผลสำเร็จ และได้น้ำผึ้งเป็นผลิตภัณฑ์ ผู้เลี้ยงผึ้ง ถือว่ามีส่วนรวมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงช่วยปกป้องผึ้งบางสายพันธุ์จากการสูญ พันธุ์ อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงผึ้งในเมืองยังคงมี อุปสรรคอยู่บ้าง อาทิ บางชุมชนอาจมีข้อห้าม หรือข้อกำหนดที่แตกต่างกัน สถานที่ต้อง เอื้ออำนวยต่อการจัดวางรังผึ้งและการหา อาหารของผึ้ง รวมถึงปัญหาจากเพื่อนบ้านหรือ ผู้อยู่อาศัยใกล้เคียงที่อาจรู้สึกไม่สบายใจจาก การมีรังผึ้งอยู่ใกล้บ้าน



7.การเลี้ยงปลาควบคู่กับการปลูกผัก (Aquaponics)
รูปแบบของการเลี้ยงปลาควบคู่กับการปลูกผัก คือ การออกแบบมีแปลงปลูกผักอยู่เหนือบ่อ เลี้ยงปลา จากนั้นนำน้ำที่ใช้ในการเลี้ยงปลาไป รดแปลงผัก ซึ่งน้ำส่วนเกินจากการใช้รดแปลง ผักจะถูกนำกลับเข้ามายังบ่อปลา ทำให้เกิด ระบบการใช้น้ำแบบหมุนเวียน ประโยชน์ของ การเลี้ยงปลาควบคู่กับการปลูกผัก อาทิ ช่วย ลดการใช้น้ำ สิ่งปฏิกูลจากบ่อปลาถูกนำไปใช้ เป็นปุ๋ยธรรมชาติสำหรับแปลงผัก ขนาดของ แปลงผักและบ่อปลาไม่จำเป็นต้องมีขนาด ใหญ่โต อีกทั้งยังสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมให้สามารถปลูกผักและเลี้ยงปลาได้ ตลอดทั้งปีอีกด้วย



ประโยชน์ของการเกษตรในเขตเมือง
1.ด้านเศรษฐกิจ
การเกษตรในเมืองมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาและหมุนเวียนทางด้านเศรษฐกิจภายในเมืองหรือชุมชนนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น บางคนนำผลผลิตที่ได้จากการทำการเกษตรในเมืองมาบริโภคภายในครัวเรือน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหาร และสามารถนำเงินที่เหลือเก็บไปใช้ทำประโยชน์ทางด้านอื่นๆ ได้ หรือบางคนอาจทำการเกษตรในเมืองในรูปแบบของธุรกิจเพื่อจัดจำหน่ายภายในเมืองหรือชุมชนนั้นๆ ทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น เพิ่มรายได้ให้แก่ทั้งเจ้าของกิจการและลูกจ้าง รวมถึงทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีราคาต่ำลง เพราะสามารถลดต้นทุนจากการขนส่งได้ เป็นต้น นอกจากนี้การเกษตรในเมืองยังส่งผลดีต่อหน่วยงานราชการท้องถิ่น เพราะการพัฒนาพื้นที่ว่างเปล่าหรือแหล่งเสื่อมโทรมภายในเขตเมืองหรือชุมชน ให้กลายมาเป็นพื้นที่ทำการเกษตร ทำให้มูลค่าของพื้นที่บริเวณนั้นๆ เพิ่มสูงขึ้นช่วยทำให้หน่วยงานราชการท้องถิ่นสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาพื้นที่บริเวณนั้นๆ ได้
2. ด้านสิ่งแวดล้อม
การเกษตรในเมือง ถือว่าเป็นหนึ่งในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในชุมชน ช่วยลดมลภาวะในอากาศ และยังมีส่วนช่วยลดความร้อนบริเวณรอบๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้การเกษตรในเมืองยังมีส่วนช่วยลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร เนื่องจากสามารถควบคุมวิธีการเพาะปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวได้เอง นำเศษอาหารที่เหลือจากการบริโภคมาเป็นปุ๋ยธรรมชาติ ติดตั้งตาข่ายเพื่อป้องกันแมลงและสัตว์อื่นมารบกวน หรือทำลายแปลงผักแทนที่การใช้สารกำจัดแมลง เป็นต้น
3.ด้านสังคมและวัฒนธรรม
การเกษตรในเมืองมีส่วนช่วยให้ผู้คนในเมืองหรือชุมชนได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน เสริมสร้างความสามัคคีภายในชุมชน เด็ก และผู้ใหญ่ภายในชุมชน ได้มีโอกาสทำงานร่วมกัน เสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็กได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ผลผลิตที่ได้จากการทำการเกษตรในเมืองยังสามารถนำไปแบ่งปันให้แก่ผู้ยากไร้ภายในชุมชน ช่วยให้ผู้คนมีอาหารเพียงพอต่อการบริโภค และได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนอีกด้วย
4.ด้านการศึกษา
ผู้คนในชุมชนที่มีส่วนร่วมในการจัดตั้งการเกษตรในเมืองสามารถจัดกิจกรรมแบ่งปันให้ความรู้แก่ผู้สนใจอื่นๆ เพื่อนำความรู้ไปใช้พัฒนาการทำการเกษตรในเมืองได้ นักเรียน นักศึกษา สามารถใช้ แปลงผักชุมชนเป็นสถานที่เรียนรู้ ฝึกงาน เพื่อนำความรู้ไปใช้พัฒนาในสาขาอาชีพที่สนใจได้
แนวคิดการเกษตรในเขตเมืองถูกพัฒนาไปพร้อมๆกับการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง มีโครงการจำนวนมากที่เกิดขึ้นในประเทศเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งความมั่นคงทางอาหารยังเป็นปัญหาใหญ่ของหลายเมือง แต่ละโครงการมีจุดเริ่มต้น รูปแบบการดำเนินงาน และทิศทางการพัฒนาที่แตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ตัวอย่างสองโครงการจากประเทศไทยและสิงคโปร์ที่จะกล่างถึงต่อไปนี้ สามารถสะท้อนภาพการพัฒนาการเกษตรในเขตเมืองที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี
สวนแบ่งปัน ประเทศไทย
เป็นการพัฒนาพื้นที่รกร้างในเมืองเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด โดยใช้พื้นที่ว่างด้านล่างของเส้นทางรถไฟรางคู่ซึ่งในปัจจุบันถูกยกรางสูงขึ้น มาทำเป็นแปลงผักสวนครัว สร้างพื้นที่อาหารปลอดภัยขึ้นในชุมชนริมทางรถไฟในเขตเมืองขอนแก่น ดำเนินการโดยทีม Hug Town ร่วมกับสถาบันจัดการความรู้เกษตรกรรมยั่งยืนภาคอีสาน, สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส), คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และชุมชนริมทางรถไฟ


การดำเนินงานของสวนแบ่งปัน เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิชาการและคนในพื้นที่ในลักษณะร่วมกันสร้าง (Co-create) มีการจัดทำกระบวนการที่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การพัฒนาและอบรมทักษะ เป็นการเรียนรู้ร่วมกันผ่านงานวิจัยผสมผสานไปกับการลงมือทำ (Learning-by-doing) โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ว่างที่ไม่มีการใช้งานให้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้โดยเฉพาะการเป็นแหล่งอาหารของคนในชุมชน ลดภาระค่าใช้จ่ายบางส่วนและเพิ่มโอกาสในการพบปะและสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชน
Edible Garden City จากประเทศสิงคโปร์
Edible Garden City (EGC) หรือสวนกินได้ ก่อตั้งโดยบิยอร์น โลว์ (Bjorn Low) ในปีค.ศ.2012 เริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้กับสิงคโปร์ด้วยการปลุกกระแสการผลิตอาหารด้วยตัวเอง (Grow your own food movement) สิ่งที่ EGC ผลักดันให้เกิดขึ้นคือการสร้างแปลงปลูกผักในที่ต่างๆทั่วเมือง ทั้งบนดิน ข้างทาง สวนหลังบ้าน บนระเบียงและดาดฟ้าของอาคาร โดยเชื่อว่าการมีแปลงผักอยู่ในทุกเมือง ทุกบ้าน และมีคนปลูกผักเป็นอยู่ในทุกครอบครัวจะช่วยลดการพึ่งพาอาหารจากภายนอกได้


ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสำคัญกับ การเกษตรในเขตเมือง ที่มีส่วนเสริมหนุนต่อความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ของประเทศไทย โดยได้ดำเนินโครงการต่างๆเพื่อพัฒนาการเกษตรสู่ความยั่งยืน ตัวอย่างของโครงการที่น่าสนใจซึ่งเริ่มนำร่องในพื้นที่กรุงเทพมหานครและอาจกระจายสู่เมืองขนาดใหญ่อื่นต่อไป ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project : SUAD Project)


โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กรุงเทพมหานครมีการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็วทำให้ประชากรและชุมชนเพิ่มขึ้นประสบปัญหาความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) เพราะมีพื้นที่เกษตรน้อยและมีพื้นที่สีเขียวไม่ได้สัดส่วนกับจำนวนประชากรกระทบต่อระบบนิเวศทางธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของประชาชน คณะกรรมการบริหารและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงวางโครงสร้างและระบบเป็นกลไกแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาภาคการเกษตรในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ด้วยโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project : SUAD Project) ตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งได้กำหนดยุทธศาสตร์ “3’s”(Safety-Security-Sustainability เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน) โดยมุ่งเน้นการพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็น “มหานครสีเขียวแห่งอนาคต” ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ ในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate Change) ของโลก และเป้าหมายของโครงการกรุงเทพสีเขียว 2030 (Green Bangkok 2030) ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ อีกทั้งยังสอดรับกับโครงการธนาคารสีเขียว (Green Bank) ที่ส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ ซึ่งช่วยให้เกิดการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองเพิ่มขึ้น เป็นการสร้างการขับเคลื่อนให้เกิดในลักษณะองค์รวม โดยมีตัวอย่างบางโครงการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดตัวโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองพื้นที่วัด (Green Temple) ณ ธรรมสถานวัดพระราม 9 กาญจนภิเษก รวมถึงวัดพระยาสุเรนทร์ บนความร่วมมือระหว่างบ้าน วัดและโรงเรียน (บ.ว.ร.) เพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนเมืองใกล้วัดร่วมทำการเกษตรพัฒนาอาหารปลอดภัย สร้างจิตสำนึกให้คนในชุมชนเกิดการแบ่งปัน รวมถึงเป็นรายได้ให้แก่ชุมชนด้วย
ที่มา :
ศูนย์สารสนเทศสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (http://www.environnet.in.th/archives/1416)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (https://www.moac.go.th/news-preview-441191792802)
อ.วราภรณ์ มนต์ไตรเวศย์, การดิ้นรนของสวนเกษตรในเมือง กรณีศึกษาชาวสวนฝั่งธนบุรี : วารสารมานุษยวิทยาปีที่ 2 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2562)
ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส, การเกษตรในเมืองกับสหรัฐอเมริกา (Urban Agriculture : The United States) (www.thaiagrila.com)
เรียบเรียง : สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงใหม่